10 เคล็ดลับในการเรียนภาษาญี่ปุ่น ฉบับเข้มข้น

ตามข้อมูลของสถาบันการต่างประเทศ (FSI) เผยว่า ภาษาญี่ปุ่นติดอันดับหนึ่งในห้าภาษาที่ยากที่สุดในการเรียนของชาวต่างประเทศที่พูดภาษาอังกฤษ ซึ่งประกอบไปด้วย ภาษาอารบิก ภาษาเกาหลี ภาษาจีนกลางและภาษาจีนกวางตุ้ง

ภาษาญี่ปุ่นใช้โครงสร้างประโยคแบบ ปกก (ประธาน กรรม กริยา) ขณะที่ของภาษาอังกฤษจะเป็น ปกก (ประธาน กริยา กรรม) แทน ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อลองเอาภาษาญี่ปุ่นมาแปลเป็นภาษาอังกฤษแบบตรงๆเลย มันจะฟังดูเหมือนคุณกำลังพูดแบบอาจารย์โยดา ยังไงยังงั้น

ในภาษาญี่ปุ่นจะมีรูปแบบการเขียนแตกออกเป็นสามรูปแบบ ซึ่งแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงเมื่อเทียบกับภาษาอังกฤษ หรือภาษาโรแมนติก โดยจะประกอบไปด้วย ฮิรางานะ คาตาคานะ และคันจิ และแต่ละแบบ ก็จะจำแนกออกไปตามความสุภาพ ตามทางการ ไม่เป็นทางการต่อไปอีก อีกทั้งภาษาญี่ปุ่นยังเป็นภาษาที่มีบริบทสูง ประกอบสร้างขึ้นโดยความหมายโดยนัย แทนที่จะสื่อสารออกไปตรงๆ

ฟังดูน่าสนุกเนอะ? เรามาเริ่มต้นเรียนภาษาญี่ปุ่นด้วยเคล็ดลับในการเรียนตามนี้เลยดีกว่า

1.อย่าศึกษาพื้นฐานการเขียนภาษาญี่ปุ่นด้วยตนเอง
แม้ว่ามันจะง่ายกว่า ถ้าเรียนรู้พยางค์ต่างๆในฮิรางานะและคาตาคานะด้วยตนเอง แต่พวกมือใหม่อาจจะละเลย หลงลืมลำดับจังหวะอันสำคัญในการเรียนภาษาได้ ในภาษาอังกฤษ ถ้าคุณเขียนตัวหนังสือแปลกๆมา มันก็ยังพอรับได้อยู่ แต่ในภาษาญี่ปุ่น มันจะบ่งบอกให้รู้ได้เลยว่า คุณไม่สนใจที่จะเรียนการเขียนมันอย่างถูกต้อง ซึ่งแปลได้ว่า คุณขี้เกียจนั่นเอง การขี้เกียจอาจเป็นบ่อเกิดทัศนคติที่ไม่ดีในการเรียนภาษาญี่ปุ่นได้

อีกทั้งการเขียนตัวหนังแบบปกติ กับแบบลงน้ำหนักเยอะๆแล้วตวัดขึ้น ก็ยังมีความหมายที่แตกต่างกัน ลำดับจังหวะในการเขียน จึงเป็นสิ่งสำคัญในการปูพื้นฐานในเรื่องของตัวคันจิ ฉะนั้น อย่ามองข้ามมัน!

2.อย่าข้ามจุดที่ยากไป
มันเป็นเรื่องง่ายที่จะคิดว่า “เดี๋ยวฉันค่อยกลับมาทวนบทที่ข้ามไปทีหลังละกัน” แต่ในความเป็นจริงแล้ว คุณทำอย่างนั้นไม่ได้!!! ในบทแรกๆจะเกี่ยวกับเรื่องชื่อครอบครัว นามสกุล การบอกเวลาและเครื่องหมายต่างๆ ในหนังสือสอนบทสนทนาขั้นพื้นฐานมักจะเริ่มจากเรื่องพวกนี้ก่อนเป็นเรื่องแรกๆ และเรื่องเครื่องหมายต่างๆใช้เวลาในการเรียนให้เข้าใจได้นานกว่าที่คุณคิด เรียนรู้การผันคำคุณศัพท์ และห้ามไปบทต่อไปจนกว่าคุณจะหลับไป ผันไปได้

3.ลงทุนกับการศึกษาสักหน่อย
ถ้าคุณลงเรียนภาษาญี่ปุ่นที่โรงเรียน คุณจะได้รับตำราเรียนมาเลย แต่ถ้าเขาจัดหาตำราแย่ๆให้กับคุณแล้ว มันอาจทำลายประสบการณ์ในการเรียนของคุณได้เลย ครั้งหนึ่งฉันเคยเรียนกับครูสอนภาษาญี่ปุ่นท่านหนึ่ง เขาหยุดและเขียนข้อความสองสามประโยคในหนังสือเรียน “นากามะ” ของพวกเราว่า “มันตกยุคไปแล้ว” มันจะไปได้อะไรขึ้นมา ถ้าหากเอาหนังสือเรียนที่เก่าตกยุค ไม่อัพเดทแบบนี้มาสอนมือใหม่หัดเรียนภาษาญี่ปุ่น?

โชคดีนะ ที่คุณยังมีทางเลือกในการเลือกหนังอยู่ “เก็งคิ” และ “ภาษาญี่ปุ่นเพื่อคนงานยุ่ง” สองเล่มนี้ถือเป็นการเริ่มต้นที่ดีในการเรียนภาษาญี่ปุ่นของคุณ ในความจริงแล้ว ฉันพบว่า พวกตำรา หนังสือเรียนต่างๆนี่เป็นเพียงแค่ไกด์ไลน์ แนะนำเบื้องต้นเท่านั้น แต่ความหลากหลาย การพลิกแพลงของมันจะขึ้นอยู่กับแนวทางการเรียนของคุณเอง

ลงทุนกับพจนานุกรมภาษาญี่ปุ่นที่มีตัวอักษรคันจิด้วยจะดี ยิ่งมีฮิรางานะประกอบตัวคันจิแต่ละตัว พร้อมกับคำแปลประกอบแต่ละตัวด้วยจะดีมาก แล้วก็หาซื้อหนังสือ หลักไวยากรณ์ภาษาญี่ปุ่น ของบาร์รอนมาโดยด่วน แล้วค่อยซื้อพจนานุกรมคันจิ และการ์ดรวมศัพท์คันจิทีหลังเมื่อคุณเริ่มเรียนไปได้สักพักแล้ว ยังมีอีกหลายเล่มที่มีประโยชน์เยอะเลย เช่นหนังสือ รวมคำแสลงในภาษาญี่ปุ่น พจนานุกรมวัฒนธรรม และพจนานุกรมรวมวัฒนธรรมสมัยใหม่ก็น่าสนใจไม่ใช่น้อย

4.ดูการ์ตูนเยอะๆ ดูหนังเยอะๆ ดูละครเยอะๆ ฟัง/หัดร้องเพลงภาษาญี่ปุ่นเยอะๆ แต่ไม่ใช่ทำทั้งหมดนี่เพียงอย่างเดียว
ภาษาญี่ปุ่นเริ่มเป็นที่สนใจของวัยรุ่นในต่างแดนมากขึ้น ต้องขอขอบคุณการ์ตูน อนิเมะ หนังสือการ์ตูน มังงะ ด้วยนะ และเพลงร็อคญี่ปุ่นกับเพลงป๊อปก็ด้วย มีแฟนๆหลายคนอยากจะอ่านและเข้าใจเรื่องที่พวกเขาสนใจโดยที่ไม่ต้องรอคนนำเข้ามาแปล เพื่อพวกเขาจะได้แปลคำพูดในมังงะ หรือเนื้อเพลงได้คำต่อคำเลย

แม้ว่าวิธีนี้จะเป็นวิธีที่ยอดเยี่ยมในการเรียนรู้คำแสลงและรูปแบบไวยากรณ์ที่ยากท้าทาย แต่มันก็จะสอนให้คุณรู้แต่คำศัพท์ที่มันไร้ประโยชน์ นำไปใช้ในชีวิตประจำวันไม่ได้แทน คุณอาจจะพูดคำว่า จังหวะหัวใจ, เปี่ยมล้น, โอบกอด, หยาดน้ำตา, นิรันดิ์, ไม่อภัยโทษ และ หนังเรื่อง สวอลโล่เทลล์ บัตเตอร์ฟลาย ได้ แต่คุณจะพบกับปัญหาทันที ถ้าคุณพูดคำว่า ขั้นบันได, สนามบิน, สายรถไฟ, เลี้ยวซ้าย, เลี้ยวขวา และ ไปรษณีย์ ไม่ได้

5.ฝึกร้องเพลงญี่ปุ่นพร้อมดูเนื้อเพลงประกอบไปด้วย
การดูเนื้อเพลงประกอบจะช่วยให้คุณจดจำคาตาคานะ และคันจิได้ดี เพิ่มทักษะความไวในการอ่าน และแน่นอน สอนให้คุณรู้ด้วยว่า ภาษาญี่ปุ่นควรจะออกเสียงอย่างไร สิ่งนี้สำคัญมากนะ เพราะว่าในญี่ปุ่นเนี่ย คาราโอเกะ ถือเป็นกีฬานานาชาติอย่างไม่เป็นทางการเลยนะ คนญี่ปุ่นจะชอบมากเมื่อชาวต่างชาติร้องเพลงญี่ปุ่นได้ดัง ชัดถ้อยชัดคำ (ยิ่งเพลงเก่าเท่าไหร่ พวกเขาก็ยิ่งชอบมากเท่านั้น) ดังนั้น ไปฝึกมาแต่เนิ่นๆจะดีมาก แถมการไปร้องคาราโอเกะเป็นกลุ่มเป็นวิธีที่ดีในการได้เพื่อนใหม่ ซึ่งจะเกี่ยวเนื่องไปสู่ข้อต่อไป

6.หาคู่สนทนาที่เป็นมือใหม่กับคุณ
วิธีนี้ไม่จำเป็นต้องไปเสียเงินแพงๆ คนญี่ปุ่นชอบที่จะหาเพื่อนคุย โดยให้ช่วยสอนภาษาอังกฤษเป็นการแลกเปลี่ยนอยู่บ่อยครั้ง การฟังเพื่อนคุณพูดและลองฟังเสียงที่ตัวเองพูดจะช่วยผลักดันให้คุณออกเสียงได้อย่างถูกต้อง บอกเพื่อนของคุณให้คอยเตือนเวลาคุรออกเสียงผิด แล้วแก้ให้ถูกต้อง สิ่งที่จะได้ตอบแทนกลับมาจากการใช้วิธีนี้คือ มันจะช่วยให้คุณคิดแบบคนญี่ปุ่นได้มากขึ้น

บทสนทนาในหนังสือมันเดาทางง่าย ตรงไปตรงมา และว่ากันตามตรง ไม่มีใครอยากพูดแบบนั้นในชีวิตจริงหรอก การฝึกภาษาญี่ปุ่นด้วยตัวเอง ฝึกอยู่คนเดียว จะทำให้คุณไม่มีโอกาสที่จะฝึกพูดคุย สนทนากันเลย มีกลุ่มนัดพบกันเพื่พูดคุย แลกเปลี่ยนภาษาโดยเฉพาะด้วย ใน Meetup.com และคุณยังเช็คข้อมูล ตามกลุ่มสมาคมต่างๆเพื่อโอกาสต่างๆในการเรียนได้

meetup
https://www.meetup.com/

7.ระวังวิธีการเรียนภาษาแบบขลุกอยู่กับประเทศเจ้าของภาษานั้นๆ
การที่เราจมไปกับประเทศเจ้าของภาษา ถือเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการเรียนภาษาใดๆก็ตาม แต่นั่นเป็นวิธีขั้นสูง สำหรับนักเรียนที่เก่งภาษาญี่ปุ่นระดับสูงแล้ว ที่ต้องการเชื่อมช่องว่างระหว่างภาษาให้เกิดความคล่องมากขึ้น อย่างไรก็ตาม คุณยังสามารถเริ่มต้นได้ง่ายๆอยู่

ในสหรับอเมริกา จะมีโครงการอบรมแบบขลุกอยู่กับภาษานั้นๆ และรวมถึงค่ายฤดูร้อนสำหรับเด็กๆ รวมไปถึงนักศึกษามหาวิทยาลัยเช่นค่าย คอนคอร์เดีย แลงกวิตช์ แคมป์ แต่ดูให้ดีก่อนกระโจนเข้าไป มีหลากหลายโครงการในนั้นที่ไม่อนุญาตให้ผู้เข้าร่วมสื่อสารกันเป็นภาษาอังกฤษ และจะพยายามผลักดันให้คุณพูดญี่ปุ่น ไม่ว่าระดับทางภาษาญี่ปุ่นของคุณ อยู่ในระดับไหน ในบางครั้ง โครงการประเภทนี้จะชอบมองข้ามแนวคิดที่ผู้เรียนที่เป็นู้ใหญ่นั้น ได้ผ่านการทดสอบทางภาษามาแล้ว

คุณอาจลองถามตัวเองดูก่อนว่า “เราควรจะเรียนในหลักสูตรระดับอุดมศึกษา ที่การเรียนการสอนทั้งหมดเป็นภาษาญี่ปุ่น โดยที่เรายังไม่คล่องเลยดีมั้ย?” อย่าพยายามยัดเยียดตัวเองเข้าไปเรียนเพื่อที่จะตามระดับภาษาที่สูงกว่าให้ทันคนอื่น

8.เรียนรู้คำจำพวก ทัง ทวิสเตอร์ และคำประเภทเสียงประกอบฉาก
ไม่เพียงแต่การฝึกเล่น ทัง ทวิสเตอร์ จะช่วยให้คุณมองภาษาญี่ปุ่นในอีกแง่มุมหนึ่งแล้ว มันยังช่วยเริ่มต้นบทสนทนาได้อย่างรวดเร็วอีกด้วย ต่างกับภาษาอังกฤษ ที่คำประเภทประกอบฉากจะไม่ค่อยมีให้เห็นในภาษาอังกฤษ เพราะคำพวกนี้จะเจอได้ตามหนังสือการ์ตูนเท่านั้น แต่กับภาษาญี่ปุ่น คำพวก เสียงประกอบฉากถือเป็นส่วนหนึ่งของบทสนทนาในชีวิตประจำวัน และทำให้คุณพูดได้เป็นธรรมชาติมากขึ้น หากคุณเรียนรู้มัน เปะโกะ เปะโกะ คือคำที่ในภาษาญี่ปุ่น ใช้อธิบายอาการท้องป่องขึ้น และลงท้ายว่า เดส (กริยาช่วยใน present simple) เปลี่ยนประโยคเป็น “ฉันหิว” คุณรู้มั้ยว่า มีตั้งสี่วิธีที่จะบรรยายเสียงของฝนในภาษาญี่ปุ่นน่ะ แถมมันยังมีแม้กระทั่งคำบรรยายความเงียบอีกด้วย

รู้ก็ดี ไม่รู้ก็ได้: “ลิ้นพันกัน” ในภาษาญี่ปุ่นจะพูดว่า ฮายากุจิ โคโตบะ ที่แปลว่า “คำพูดปากไว”

9.ตั้งมั่นอยู่กับรูปแบบโรมาจิเพียงรูปแบบเดียว
การเขียนภาษาญี่ปุ่นโดยใช้อักษรโรมันจะดูยุ่งยากสักหน่อย เปป็นเพราะมันไม่ได้มีแค่รูปแบบเดียวให้เขียน ตัวอย่างเช่น “ฟุ” (ふ) เขียนแทนเป็น “ฮุ” (ฮะ/ฮิ/ฟุ/เฮะ/โฮะ) ส่วนกริยาก็เช่น “ฟุกุ” สามารถเขียนเป็น “ฮุกุ” แทนได้ ออกเสียงแตกต่างกันเพียงเล็กน้อยมาก อย่าง “ทสึ” (つ) อาจเขียนเป็น “ทุ” ส่วนคำว่า “ชิ” (し) เป็น “ซิ” คำว่า “โด” (どう) เป็น “ดู” ได้ ฯลฯ ระมัดระวังเรื่องความไม่สอดคล้องกันของแต่รูปแบบด้วย พยายามเลือกมาใช้แค่หนึ่งรูปแบบที่คิดว่าเข้ากันได้กับคุณ

10.ไปเยือนญี่ปุ่น และไปเที่ยวนอกตัวเมืองซะ
ไม่ว่าคุณจะอ่านหนังสือกี่เล่ม ดูหนังไปกี่เรื่อง หรือพูดคุยกับผู้คนไปแล้วกี่คน คุณจะไม่มีทางได้สัมผัสกับ ญี่ปุ่นที่แท้จริง จนกว่าคุณจะไปเยือนที่นั่น ทักษะในการพูด และการอ่านของคุณจะเพิ่มขึ้นอย่างมาก แค่อย่าลืมฝึกฝนต่อเวลาที่คุณกลับมาบ้านแล้ว แทนที่จะไปเที่ยวเฉยๆ ไม่ลองไปอยู่โฮมสเตย์ หรือไปเป็นอาสาสมัครที่ฟาร์มผ่าน WWOOF ดูล่ะ? ในเมืองใหญ่ๆมีแต่คนพูดภาษาอังกฤษ กับคนญี่ปุ่นที่อยากฝึกภาษาอังกฤษกับคุณเต็มไปหมด ดังนั้นไปให้ห่างจากสิ่งเหล่านี้จะเป็นการดีที่สุดที่จะเก็บเกี่ยวประเทศญี่ปุ่นให้มากที่สุดเท่าที่คุณจะทำได้ ในระยะเวลาสั้นๆ และอย่าลืม! ท่องคาราโอเกะใส่สมองของคุณเข้าไว้และออกไปสนุกกัน!!!